เนื่องจากมีประชาชนสอบถามเกี่ยวกับการนำธุรกิจที่เกี่ยวกับสกุลเงินดิจิตอลมาชักชวนให้ร่วมลงทุนเป็นจำนวนมาก และเกิดข้อสงสัยว่าเป็นธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ ดังนั้น เพื่อไม่ให้ประชาชนหลงเชื่อและได้รับความเสียหายจากธุรกิจดังกล่าวจึงขอสรุปข้อมูล ดังนี้
1. สกุลเงินดิจิตอลถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสื่อกลางในการซื้อขายสินค้า หรือบริการต่างๆ และส่วนใหญ่มีการกำหนดจำนวนที่จะถูกสร้างขึ้นในจำนวนที่แน่นอน โดยมีเป้าหมายที่จะให้มูลค่าทางการตลาดของ สกุลเงินดิจิตอลเป็นไปตามอุปสงค์และอุปทานของตลาด ซึ่งบริษัทที่ผลิตสกุลเงินดิจิตอลได้ชักชวนให้คนร่วมลงทุนซื้อผลิตภัณฑ์แพคเกจการศึกษาการสร้างสกุลเงินดิจิตอลกับบริษัท รวมถึงร่วมลงทุนในสกุลเงินดิจิตอล โดยจะได้รับผลประโยชน์ตอบแทนในอัตราที่สูง เป็นการจูงใจให้ประชาชนเข้ามาสมัครเป็นสมาชิกและลงทุนกับบริษัท นอกจากนี้ บริษัทยังได้เสนอผลตอบแทนให้กับผู้ลงทุนที่สามารถชักชวนให้คนมาสมัครสมาชิกเพิ่มเติมโดยมีให้เลือกหลายระดับ การลงทุน
2. ธนาคารแห่งประเทศไทยได้ออกประกาศ ฉบับที่ 8/2557 ลงวันที่ 18 มีนาคม 2557 เรื่องข้อมูลเกี่ยวกับ Bitcoin และหน่วยข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ที่มีลักษณะใกล้เคียง มีข้อความสรุปได้ดังนี้
1) Bitcoin และหน่วยข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์อื่นๆ ที่ลักษณะใกล้เคียงกับ Bitcoin ไม่ถือเป็นเงินที่ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายไทยในการชำระค่าสินค้าหรือบริการ จึงอาจถูกปฏเสธจากร้านค้าได้
2) มีความเสี่ยงสูงจากการที่มูลค่าหน่วยข้อมูลทางอิเล็กทรอนิกส์ผันแปรอย่างรวดเร็ว และไม่สัมพันธ์กับสภาพเศรษฐกิจจริง ผู้ถือครองหน่วยข้อมูลจึงมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินจากการที่มูลค่าของหน่วยข้อมูลลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว
3) มีความเสี่ยงที่ผู้ใช้หน่วยข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้รับความคุ้มครอง เนื่องจากหน่วยข้อมูลดังกล่าวไม่ถือเป็นเงินที่ใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมายไทย ดังนั้น หากมีการหลอกลวงหรือฉ้อโกง การฟ้องคดี การติดตามข้อมูลการโอนเพื่อใช้เป็นพยาน หลักฐานอาจทำได้ยาก ซึ่งต่างจากการโอนเงินผ่านธนาคารพาณิชย์ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของทางการที่มีระบบติดตามได้
3. ข้อกฎหมาย
มาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้แโกงประชาชน พ.ศ. 2527 บัญญัติว่า
ผู้ใดโฆษณาหรือประกาศให้ปรากฏต่อประชาชนหรือกระทำการด้วยประการใดๆ ให้ปรากฏแก่บุคคลตั้งแต่สิบคนขึ้นไปว่า ในการกู้ยืมเงินตนหรือบุคคลใดจะจ่ายหรืออาจจะจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนให้ ตามพฤติการณ์แห่งการกู้ยืมเงินในอัตราที่สูงกว่าดอกเบี้ยสูงสุดที่สถาบันการเงินตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงินพึงจะจ่ายได้ โดยที่ตนรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่า ตนหรือบุคคลนั้นจะนำเงิน จากผู้ให้กู้ยืมเงินรายนั้นหรือรายอื่นมาจ่ายหมุนเวียนให้แก่ผู้ให้ยืมเงิน หรือโดยที่ตนรู้หรือควรรู้อยู่แล้วว่าตนหรือบุคคลนั้นไม่สามารถประกอบกิจการใดๆ โดยชอบด้วยกฎหมายที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนพอเพียงที่จะนำมาจ่ายในอัตรานั้นได้ และในการนั้นเป็นเหตุให้ตนหรือบุคคลใดได้กู้ยืมเงินไป ผู้นั้นกระทำความผิดฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน
ดังนั้น หากบริษัทที่ท่านร้องเรียนมีพฤติการณ์เข้าองค์ประกอบความผิดตามมาตรานี้ จะต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 10 ปี และปรับตั้งแต่ 500,000 บาท ถึง 1,000,000 บาท และปรับอีกไม่เกินวันละ 10,000 บาท ตลอดเวลาที่ยังฝ่าฝืนอยู่ ฉะนั้น เพื่อป้องกันมิให้ถูกหลอกลวงและได้รับความเสียหาย จึงขอให้ประชาชนที่จะลงทุนในธุรกิจนี้ ควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนการตัดสินใจลงทุนว่าธุรกิจนี้สามารถประกอบกิจการใดๆ โดยชอบด้วยกฎหมาย ที่จะให้ผลประโยชน์ตอบแทนที่พอเพียงที่จะนำมาจ่ายให้แก่ผู้ลงทุนได้จริงหรือไม่ หรือเป็นเพียงการนำเงินจากสมาชิกรายเก่ามาจ่ายหมุนเวียนให้สมาชิกรายใหม่ นอกจากนี้ควรพิจารณาด้วยว่า ธุรกิจดังกล่าวเป็นรูปแบบลักษณะการซื้อ - ขาย เก็ง กำไรในสกุลเงินตราต่างประเทศ หรือสินค้าซึ่งมีการสัญญาว่าจะได้รับผลตอบแทนที่สูงหรือไม่ เพราะผู้ลงทุนจะต้องยอมรับในความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากความเสี่ยงในการลงทุนเหล่านั้นเอง และหากมีข้อสงสัยหรือมีข้อมูลเพิ่ม เติมสามารถติดต่อได้ที่ ศูนย์รับแจ้งการเงินนอกระบบ สายด่วน 1359 กด 1 หรือ ส่งข้อมูลมาที่ ตู้ ปณ. 1359 ปณจ. บางรัก กรุงเทพ 10500 หรืออีเมล์ 1359@mof.go.th