สงครามทางการค้ากับภาษีศุลกากร
นางสาวณัชชา อนันตกูล
นิติกร
สวัสดีค่ะ หลาย ๆ ท่านคงเคยได้ยินว่าสหรัฐอเมริกาเปิดฉากทำสงครามทางการค้ากับมหาอำนาจแห่งแดนบูรพาอย่างสาธารณรัฐประชาชนจีน
มาตั้งแต่ช่วงต้นปีแล้วโดยมาตรการหนึ่งที่สหรัฐนำมาใช้เพื่อเปิดฉากความขัดแย้งในครั้งนี้ก็คือภาษีศุลกากรนั่นเอง
เจ้าภาษีศุลกากรตัวนี้ ก็คือเงินหรือทรัพย์ที่แต่ละรัฐเรียกเก็บจากการนำสินค้าเข้ามาขาย ในเขตแดน หรือนำสินค้าออกจากเขตแดนหนึ่งไปยัง
อีกเขตแดนหนึ่งนั่นเองโดยนอกจากจะจัดเก็บเพื่อเป็นรายได้ ของประเทศนั้น ๆ แล้ว แต่ละรัฐยังใช้ภาษีศุลกากรเพื่อคุ้มครองอุตสาหกรรมบางชนิด
ในประเทศ ในกรณีที่ผู้ประกอบการในประเทศยังขาดความชำนาญในการผลิตสินค้าชนิดเดียวกัน มาแข่งขันกับสินค้านำเข้า หรือเพื่อส่งเสริมให้
ผู้ประกอบการภายในประเทศที่ผลิตสินค้าได้เกินความต้องการส่งสินค้าออกไปขาย นำรายได้มาให้แก่ประเทศอีกทางหนึ่งเช่นกัน
วิวัฒนาการของอากรศุลกากรของไทย
เจ้าภาษีศุลกากรนั้นเก่าแก่ย้อนกลับไปได้ถึงสมัยสุโขทัยเลยเชียวค่ะ โดยปรากฏอยู่บน ศิลาจารึกที่แสดงว่าในสมัยสุโขทัยนั้น
“...ใครจักใคร่ค้าช้างค้า ใครจักใคร่ค้าม้าค้า...” ไม่ว่าจะเป็น คนชาติใดก็ค้าขายในดินแดนสุโขทัยได้โดยอิสระ ต่อมาในสมัยอยุธยาก็ค่อยปรากฏว่า
มีการเก็บภาษีจังกอบหรือจำกอบ โดยเรียกเก็บจากบรรดาพาหนะที่ทุกสินค้าเข้ามาขายในดินแดนอยุธยา เรื่อยมาจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์ที่มี
การจัดเก็บภาษีอย่างเป็นระบบมากขึ้น โดยมีการจัดตั้ง “โรงภาษี” และ “นายอากร” เพื่อเก็บภาษีชนิดต่าง ๆ รวมถึงภาษีศุลกากรเช่นกัน
ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไทยตกอยู่ภายใต้ข้อตกลงของสนธิสัญญาเบาร์ริ่ง (Bowring Treaty) ที่มีเงื่อนไขให้
เปิดเสรีการค้าให้กับต่างชาติ ให้ชาวต่างชาติเข้ามาค้าขายในเขตแดนไทยได้โดยเสรี ซึ่งไทยได้พยายามขอแก้ไขสนธิสัญญาฉบับนั้นมาโดยตลอด
จนมาสำเร็จเอาเมื่อครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยสหรัฐอเมริกาเป็นประเทศแรกที่ยอมให้เอกราชทางการศุลกากรแก่ไทย แต่ก็มีเงื่อนไขว่า
ประเทศไทยต้องแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับนานาประเทศให้เสร็จสิ้นภายใน 10 ปี ซึ่งไทยก็ได้ประกาศใช้อัตราศุลกากรเป็นฉบับแรก
ในปีพุทธศักราช 2469 และได้ปรับปรุงแก้ไขเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้
ในอดีตที่ผ่านมา แต่ละประเทศก็มีวิธีประเมินราคาศุลกากรแตกต่างกันไป ส่วนมากแล้วจะมีลักษณะเป็นการกีดกันการนำเข้าสินค้า
จากต่างแดนเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศไทยก็เช่นกัน แต่ด้วยสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป การประเมินราคาศุลกากรแบบนั้น
จึงไม่ก่อให้เกิดผลดีกับการค้าระหว่างประเทศเลย เพราะในบางครั้ง บางประเทศอาจผลิตสินค้าได้น้อยกว่าความต้องการ จึงจำต้องมีการนำเข้า
ในขณะที่บางประเทศผลิตได้มากเกินความต้องการ หากไม่ส่งออกไปขายเสียบ้าง สินค้าชนิดนั้น ๆ ก็จะราคาตกใช่ไหมคะ ดังนั้น นานาประเทศ
จึงตกลงร่วมกันให้นำระบบราคาแกตต์ (GATT Valuation) ขององค์การการค้าโลก (World Trade Organization: WTO) มาใช้ เพื่อให้การกำหนด
อัตราศุลกากรนั้นไม่ซับซ้อนและสามารถคาดการณ์ได้นั่นเองโดยไทยเองในฐานะสมาชิกของ WTO ก็นำระบบราคาแกตต์มาใช้เช่นเดียวกัน
สงครามการค้าจีน-สหรัฐ
ส่วนสงครามทางการค้าในครั้งนี้ ภาษีศุลกากรก็ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความขัดแย้งเช่นเคย โดยสหรัฐอเมริกาขึ้นกำแพงภาษี
(Tariff War)เพื่อกีดกันการนำเข้าสินค้าจากจีน ในขณะที่จีนก็แสดงจุดยืนชัดเจน ว่าจะตอบโต้และไม่ยอมถอยให้
โดยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา สหรัฐประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าประเภทเหล็กและอะลูมิเนียมจากทุกประเทศ โดยจัดเก็บภาษีในอัตราใหม่
ร้อยละ 25 และ 10 ตามลำดับ อ้างว่า เพื่อปกป้องอุตสาหกรรมภายในประเทศ แต่แล้วกลับยกเว้นภาษีดังกล่าวให้กับผู้ส่งออกรายใหญ่อย่าง
แคนาดา สหภาพยุโรป เกาหลีใต้ เม็กซิโก และบราซิล ทำให้จีนที่ไม่ใช่ผู้ส่งออกในลำดับต้น ๆ กลับได้รับผลกระทบจากการขึ้นภาษีดังกล่าว
มากที่สุด โดยเสียหายเป็นมูลค่า 3,000 ล้านดอลลาห์สหรัฐ โดยในครั้งนี้ จีนก็ตอบโต้ด้วยการประกาศใช้แผนเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐ
คิดรวมเป็นมูลค่ากว่า 3,000 ล้านดอลลาห์สหรัฐ และยังยื่นเรื่องร้องเรียนการกระทำของสหรัฐต่อองค์การการค้าโลกอีกด้วย แต่สหรัฐ
(โดยนายโดนัลด์ ทรัมป์) ก็ยังยืนกรานที่จะใช้แผนภาษีเช่นนั้นต่อไป
จากนั้น ทั้ง 2 ชาติมหาอำนาจยังประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้าอีกหลายรายการ โดยเน้นไปที่สินค้าซึ่งเป็นสินค้าส่งออกหลักของอีกฝ่ายหนึ่ง
โดยทางจีนเองก็เคยโต้ตอบอย่างเจ็บแสบ ประกาศเพิ่มรายการสินค้านำเข้าจากสหรัฐให้รวมไปถึงสินค้าส่งออกสำคัญของสหรัฐอเมริกาอย่างเช่น
ยานยนต์ เชื้อเพลิงอากาศยาน และถั่วเหลืองซึ่งเป็นสินค้าที่มีนัยสำคัญทางการเมืองต่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ เพราะเป็นสินค้าที่ผลิตและปลูกในรัฐ
ที่เป็นฐานเสียงของพรรครรีพับลิกันนั่นเองค่ะ
ตั้งแต่ช่วงต้นปีจนถึงบัดนี้ สหรัฐเรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนไปแล้วกว่า 2.50 แสนล้านดอลลาห์สหรัฐ ส่วนจีนก็เรียกเก็บภาษีต่อสินค้า
นำเข้าจากสหรัฐไปแล้วกว่า 1.10 แสนล้านดอลลาห์สหรัฐ แต่หากสงครามการค้าครั้งนี้ยังยืดเยื้อต่อไป พญามังกรอาจจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ
มากกว่าจีนนำเข้าสินค้าจากสหรัฐเพียง 1.30 แสนล้านดอลลาห์สหรัฐเท่านั้น เมื่อเทียบกับมูลค่าสินค้าที่จีนส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกา 5.05
แสนล้านดอลลาห์สหรัฐในอนาคตอนาคต เป็นไปได้ว่าจีนอาจจะหันไปใช้วิธีการอื่น ๆ เช่นการขายพันธบัตรของรัฐบาลสหรัฐในครอบครอง
หรือการจำกัดการลงทุนของสหรัฐในจีน เพื่อตอบโต้แทนการขึ้นภาษี
แต่ในเดือนพฤศจิกายนนี้ ทรัมป์และสีจิ้นผิงจะมีโอกาสได้พบกันนอกรอบการประชุม G20 ที่กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา ไม่แน่ว่า
ลมอาจจะเปลี่ยนทิศก็เป็นได้ !
ผลต่อเศรษฐกิจโลก
สงครามการค้าในครั้งนี้ สหรัฐอเมริกาจุดประกายความขัดแย้งขึ้นด้วยเหตุผลหลาย ๆ ประการประกอบกัน ไม่ว่าจะเพื่อปกป้องอุตสาหกรรม
ภายในประเทศเพื่อหาเสียงสำหรับการเลือกตั้งที่ใกล้จะเข้ามาถึง หรือเพื่อตอบโต้มาตรการการเข้าถึงตลาดที่จีนใช้กำกับบริษัทต่างชาติที่เข้าไป
ลงทุนในประเทศอย่างเคร่งครัด และไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ๆ สงครามการค้าในครั้งนี้ย่อมส่งผลให้เศรษฐกิจโลกชะลอตัว เพราะทั้งสหรัฐและจีนต่าง
เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจด้วยกันทั้งคู่ นอกจากนี้ เรายังอาจเห็นผู้ประกอบการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศอื่น ๆ และการค้าโลกจะถูกแบ่ง
ออกเป็น 2 ขั้ว นำโดยสหรัฐและจีน ซึ่งกรณีหลังอาจส่งผลในเชิงบวกต่อการเติบโตของการค้าในระดับภูมิภาคที่ไม่มีทั้งสหรัฐหรือจีนเข้าร่วม
อย่างเช่น อาเซียน ก็เป็นได้
แต่ไม่ว่าสงครามการค้าครั้งนี้จะจบลงอย่างไร หรือจะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยมากน้อยเพียงใด ผู้ประกอบการไทย รวมทั้งผู้อุปโภค
บริโภคอย่างเรา ๆก็ต้องคอยเปิดหูเปิดตารับข่าวสาร เพื่อปรับตัวไปพร้อม ๆ กัน เพราะบางครั้ง สงครามที่สู้กันด้วยตัวเลข อาจก่อให้เกิดบาดแผลฉกรรจ์
เสียยิงกว่าปลายปืนอีกนะคะ !